เนื้อย่างเกาหลี

วันนี้มาชวนทุกๆคนมาทานเนื้อย่างเกาหลีกันค่ะ ทำไม่ยากเลยค่ะ

เริ่มแรกหมักเนื้อค่ะ

มีหลายวิธีมากเลย หวานก็เอามาจากอินเตอร์เน็ตน่ะค่ะ

1. วิธีที่1 ให้ใช้หมูหมักกับไข่ ผสมเกลือนํ้าตาลและนํ้าปลาให้เข้ากันเอาหมูไปผสมกับเกลือนํ้าปลานํ้าตาลที่ ผสมแล้ว ก็จะออกมาเป็นหมูหมักที่แสนอร่อย เก็บไว้นานโดยแช่เย็นห้ามเกิน 2วันนะค่ะ

2. วิธีที่2 MK SUKI ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะหมักหมูให้นุ่ม ควรใส่แป้งมันเล็กน้อย น้ำสะอาด ซอสปรุงรส ซีอิ้ว และน้ำตาล หมักไว้อย่างน้อย 3 ชม . ในช่องของตู้เย็นที่ไม่เย็นมากนัก

เนื้อ หมูจะนุ่มโดยไม่ต้องพี่งสารเคมี (ผงหมักหมู) สะอาดมาที่ 1 ตามมาด้วยโภชนการ ความอร่อยและน่ารับประทาน เห็นชาวต่างชาติบางคนใส่โค๊ก หมักใส่เครื่องปรุงแบบคุณหมึกหมดและเติมน้ำมันงาลงไปด้วยน แบบ MK เลยค่ะ แต่ถ้าจะหมักทิ้งไว้ 1คืนจนนุ่ม เคี้ยวหนึบหนับแต่ไม่เหนียวเลย

3. วิธีที่3 หมักน้ำสับปะรด หมูจะนิ่มระทดระทวย อร่อยด้วย ลดเวลาที่หมักหมูในน้ำสับปะรดลง เพียงแค่สักสองชั่วโมงก็พอแล้วล่ะค่ะ ขี้นอยู่กับหมูที่คุณใช้ด้วย ว่าเหนียวมากน้อยเท่าใด ?

4. วิธีที่4 หมักหมูให้นุ่มก็ต้องใช้นำมันช่วยค่ะโดยส่วนใหญ่ก็ใช้นำมันงาแต่ถ้าไม่ชอบกลิ่นมันก็เปลี่ยนเป็นนำมันพืชแทนก็ได้ หรือไม่ก็ใช้ไข่ไก่หมักก็ได้ จะให้ดีต้องหมักค้างคืน รับรองนุ่มแน่นอน

5. วิธีที่ 5 หมักง่ายๆก็ใส่ไข่ขาวลงไป ตามด้วยแป้งมัน แป้งข้าวโพดอย่างละช้อน เติมน้ำมันงาลงไป แต่ถ้าต้องการเอาไปทำอาหารที่ไม่อยากให้มีกลิ่นน้ำมันงา ก็เติมน้ำมันพืชลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน จะหมักไปกับน้ำปลา ซี อิ๊ว น้ำตาล หรืออะไรก็ตามต้องการได้เลยค่ะ

6. วิธีที่6 หมูหมักกับซีอิ้วขาว น้ำมันพืช น้ำมันหอย นมสด(สุดยอดแล้ว)

7. วิธีที่7 สูตรของหมึกแดง ไก่หรือหมู 1 กก.

ส่วนประกอบ
1. ไก่, หมู 1 kg.
2. แป้งข้าวโพด 10 gm.
3. โซเดียมไบคาร์บอเนต 10 gm.
4. MSG PLUS (ผงชูรสจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้0.5gm.
5. ซีอิ๊วขาว 20 gm.
6. น้ำมันงา20gm.
7. น้ำเย็น 100 gm.

วิธีทำ
1. หั่นหมูหรือไก่ให้เป็นชิ้น
2. นำส่วนผสมที่ 2+3+4 ผสมให้เข้ากัน นำไปละลายในน้ำเย็น
3. ชั่งส่วนผสมที่ 5+6 ผสมให้เข้ากันทั้งหมดที่ทำมาข้างต้น
4. หมักทิ้งไว้ 1 ชม.
5. นำไปประกอบอาหาร

วิธีทำเนื้อย่างเกาหลี

1. หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นบาง ๆ หมักด้วยเครื่องปรุงต่างๆ หวานใช้สูตรผสม 1+4+6 ค่ะ อย่างล่ะหน่อยไม่นุ่มให้มันรู้ไป แล้วหมักทิ้งไว้ซัก 1-2 ชม ก็ได้ที่แล้วค่ะ

2. แช่วุ้นเส้นและเส้นหมี่เหลือง เห็ดหูหนู  เห็ดขาว เหตุผลที่ต้องแช่เพราะหวานซื้อมาจากเอเซียช้อป มีแต่แบบแห้งค่ะ

3.ต้มน้ำซุป ใส่กระดูกหมู หัวไชเท้า รากผักชี เกลือ 1 ช้อนชา

4.ทำน้ำจิ้ม ทำไม่ยากเลยค่ะ ซื้อสำเร็จมา มีสองแบบ แบบซอสคล้ายของ MK รสชาติออกหวานๆ อีกแบบมีเต้าหู้ยี้ ออกเค็มนิดๆ เอาทั้งสองผสมกันอย่างล่ะครึ่ง อร่อยดีค่ะ บีบมะนาว ใส่งาขาวคั่ว หั่นพริกสด หอม ผักชีใส่ ปรุงรสเปรี้ยวหวานตามใจชอบ

5.ล้างผักหั่นผักเรียงใส่ถาด และ จัดเตรียมชุดเนื้อ ปลา กุ้ง ไข่ แล้วแต่ที่มีใส่ถาด ปกติจะมีตับ ด้วยรอบนี้ลืมซื้อมา อ๋ออย่าลืมมันหมูน่ะค่ะจะใช้น้ำมันพืชก็ได้ค่ะ

6 เตรียมโต๊ะแล้วก็หม่ำกันให้พุงกางไปเลย

สำหรับใครที่สงสัยว่านั่นเตาอะไร ความจริงป็นเตาทำคัทเลท อาหารเยอรมัน ที่มีกระทะเล็กๆไว้ย่างชีส เบคอน แต่เอามาประยุกต์ปิ้งเนื้อย่างเกาหลี เป็นเตาไฟฟ้า แต่ไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ เนื้อเกาะไม่ค่อยอยู่ไหลลงตลอด หลังๆเลยปิ้งใส่กะทะเล็กๆด้านล่างเอา ซื้อมาจาก Lidl ค่ะ

ถ้าจะทำเนื้อย่างเมื่อไหร่อย่าลืมเรียกหวานไปกินด้วยน่ะค่ะ ;)

share with friends

  • Facebook
  • Twitter
  • Add to favorites
  • Email
  • RSS
  • Google Plus
  • Pinterest

Comments

comments

Posted in Kitchen Küche | Tagged , , , | Leave a comment

Budapest Hungary Trip ทริปนี้ฟรีตลอดทาง

ทริปนี้เป็นทริปตกข้างตั้งแต่ ปีที่แล้ว หวานเพิ่งได้โอกาศมารีวิวทริปนี้ คงไม่ช้าเกินไปน่ะค่ะ

ทริปนี้ถือว่าโชคดีมากค่ะ ที่เพทรา เพื่อนหวานที่รู้จักกันตอนเรียนภาษาเยอรมัน B1.1 ที่ตอนหลังกลายมาเป็นเพื่อนซี้กัน เพทรามาจากประเทศฮังการี่ค่ะ ตอนนั้นเค้าจะกลับบ้านเค้าใจดีเลยชวนหวานกลับไปเที่ยวบ้านเค้าด้วย 9 วัน แต่ระหว่างนั้นแอบแว้บมา เวียนนา ออสเตรีย 2 วัน  กินฟรี อยู่ฟรี ที่บ้านเพทรา ครอบครัวเพทราน่ารักมากๆๆๆ ค่ะ อยู่ที่นั่นเหมือนรู้สึกอยู่กับครอบครัวของตนเอง ครั้งนั้นแม่เพทราเลยขออาสาพาเที่ยว  Budapest ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศฮังการี่(อังกฤษ: Hungary; ฮังการี: Magyarország) ภาษาฮังการี่เป็นภาษาทางการ

Budapest เป็นเมืองที่สวยมากค่ะ มีแม่น้ำชื่อ ดานูบ คั่นกลางระหว่าง Buda และ Pest  ฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเรียกว่า Buda ส่วนอีกฝั่งเรียกว่า Pest  รวมสองฝั่งเลยเป็น Budapest ค่ะ

Budapest มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง และมีปราสาทสวยให้ชมอยู่มาก แต่ แต่ละที่อยู่ไกลกันไปหน่อย ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินและรถบัสถึงจะรอบ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ การเดินทางสะดวกขอให้แต่มีแผนที่ว่าต้องขึ้นสถานีใหนลงสถานีใหน 1 วันก็แวะชมสถานที่สำคัญๆเกือบครบค่ะ ก่อนไปก็นั่งดูแผนทีแล้วใช้มากเกอร์สี ขีดตามเส้นทางที่จะไปว่าจะเริ่มจากไหนมาไหน  ส่วนแผนผังรถไฟฟ้าใต้ดินมีให้ดาว์โหลดในอินเตอร์เน็ตค่ะ โหลดมาดูก่อนไป ส่วนเรื่องอาหารมาที่นี้หาอาหารทานยากหน่อยค่ะ ไม่ค่อยมีขาย ถ้าไม่เดินไปเจอย่านร้านค้าจริงๆ หรือ shopping mall อาหารก็ไม่ค่อยมีให้เลือกเท่าไหร่ อาหารเอเชียยิ่งหาไม่เจอเลยค่ะ แค่ร้านขนมยังไม่เห็นเลย ครั้งนั้นเลยได้ไปฝากท้องกับ Mac donal แม่เพทราบอกว่า ไม่ควรซื้ออาหารจากร้านเล็กๆข้างทางเพราะจะไม่สะอาด อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะค่ะ ทางที่ดีป้องกันไว้พกน้ำและทำแซนวิชพกมาด้วยก็จะดีค่ะ แม่เพทราใจดีเตรียม แซนวิช น้ำ ผลไม้มาให้หมดเลย เหลือเรากินอย่างเดียว

แม่เพทรายังเตือนไว้ว่าต้องระวังกระเป๋าให้ดีน่ะค่ะ คนเยอะไปหมด มิจฉาชีพอาจจะมาล้วงกระเป๋าเราได้ง่ายๆ หวานว่ามีกันทุกเมืองใหญ่ๆกรุงเทพบ้านเรายิ่งเยอะ

ส่วนภาษา จะบอกว่าคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษกันน้อยมาก ถ้าครอบครัวเพทราไม่มาด้วย คงแย่ค่ะ เตรียมเรื่องภาษาเบื้องต้นไปบ้างก็ดีน่ะค่ะ  ภาษาฮังการี่เบื้องต้น

เริ่มกันเลยดีกว่าน่ะค่ะ เราเริ่มออกเดินทางตอน 7.00 น จากบ้านเพทรา เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ใช้เวลา 1 1/2 ชม.ก็ถึงเมืองหลวง Budapest จากนั้นก็เอารถไปจอดที่ Shopping mall จำชื่อไม่ได้ค่ะแต่จอดที่นี่ค่าจอดรถถูกกว่าที่อื่น จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางไปยัง

Heroes´Square  (Hosok Tere)  ชื่อก็บอกน่ะค่ะว่าเป็นอนุเสาวรย์ของฮีโร่ของฮังการี่ รายละเอียดเพิ่มเติม วันที่ไปเป็นวันชาติของประเทศฮังการี่พอดี เลยมีทหารอยู่เต็มไปหมด เพราะจะมีการจัดพิธีที่นี่ค่ะ

หวานขอโชว์แค่รููปและชื่อสถานที่น่ะค่ะ ข้อมูลเชิงลึกอ่านได้จากเว็บนี้ค่ะ Top sightseeing Hungary

สถานที่สำคัญที่ไม่ไกลจากที่นี้ ก็มี

Art Hall , Museum of fine Arts

Vajdahunyad Castle ตึกข้างในสวยดีค่ะ รอบๆจะมีสวนและอยู่ข้างแม่น้ำ

จากนั้นเราก็ลงใต้ดินไปเลยค่ะ ลงไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินค่ะ อยู่ไม่ไกลจากสวน ให้สังเกตุป้าย ตัว M หรือ Metro  จากนั้นก้ซื้อตั๋ว แนะนำให้ซื้อตั๋วรายวันค่ะ เพราะถูกกว่าขึ้นได้ลงได้ ขบวนใหนก็ได้ที่เป็น Metro ได้ไม่จำกัดแต่รวม บัสด้วยไหมไม่มั่นใจค่ะ เพราะว่าแค่รถไฟฟ้าใต้ดินกับเดินก้เพียงพอ และตั๋วรายวันสำหรับนักท่องเที่ยวมีประกันภัยให้ด้วยค่ะ ถ้าไปเป็นครอบครัวก็จะมีรายวันแบบเฟมิลี่ ถูกลงไปอีก จากนั้นเราก็ไปแวะชม Opera Hall ค่ะ ขึ้นจากรถไฟฟ้าใต้ดินก็เจอเลยค่ะ

จากนั้นก็ลงไปชึ้นรถไฟฟ้า ต่อไปยัง St Stephen’s Basilica

เป็นโบส์ถที่ใหญ่มากและสูงด้วย และภายในยังสวยงามมาก ต้องเข้าไปชมให้ได้น่ะค่ะ แล้วยังสามารถขึ้นลิฟท์ไปชมวิวด้านบนได้ด้วย แต่เสียดายคนเยอะต่อคิวยาวเลยขอสละ ไม่ได้ขึ้นไปดูเลย

ด้านในค่ะ

จากนั้นก็เดิน ตรงไปยังแม่น้ำ ไม่ไกลค่ะ เดินสบายๆ แถวนั้นมีร้านอาหาร กาแฟ ช้อปปิ้งมากมาย ถ้าไปต้องไปลองอาหารประจำชาติของฮังการี่ คือ Gulasch กูลาสค่ะ เป็นซุปเนื้อหรือต้มเนื้อใส่เครื่องเทศของบ้านเขา ทานกับข้าว รสชาติอร่อยค่ะ หวานยังติดใจ

วิวของอีกฝั่งแม่น้ำ

ที่นี้มีทัวร์ รสบัส ที่ลุยบกลงน้ำได้ด้วย ขึ้นไปได้ชมรอบเมืองเสร็จแล้ว แล้วไม่ต้องลงเรือ ขับรถบัสลงน้ำชมริมสองฝั่งแม่น้ำได้เลยค่ะ แจ๋วไหมหล่ะ

ข้างๆทางเดินจะมี รองเท้าเหล็กมากมายหลายคู่เพื่อรำลึกถึงบุคคลที่พลีชีพเพื่อชาติแล้วพร้อมใจกันกระโดดลงน้ำ (ตายหมู่) ฟังเพทราเล่าแล้วแปลกๆ ทำไมต้องมากระโดดน้ำตาย

จากนั้นเราก็ข้ามไปอีกฝั่งด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินเหมือนเคย จากฝั่งนี้เราก็จะเห็น รัฐสภา เป็นอาคารรัฐสภาขนาดใหญ่อันดับสองของโลก สวยและอลังการมากโดยเฉพาะเมื่อสะท้อนเป็นเงาจากแม่น้ำ

จากนั้นเราก็เดินไปขึ้นรถเมล์ค่ะ คนแถวนั้นบอกว่าถ้าเดินขึ้นจะเหนื่อย เพราะฝั่งนี้เป็นเขา ให้ไปขึ้นรถเมล์ ฟรีค่ะ แต่สายอะไรจำไม่ได้ รถฟรีสภาพเป็นอย่างนี้ค่ะ เก่ากว่าแถวบ้านเราอีก สภาพเก่าไม่พอขับเร็วอีกต่างหาก แต่ช่างเหอะเดินขึ้นไม่ไหวเหนื่อยแล้ว

ขึ้นมาแล้วรถก้จะจอดให้ตรงจุดศูนย์กลางแล้วเราก็เดินชมได้ทั่วค่ะ

ที่แรกที่แวะชม Matthias Church
กำลังซ่อมแซม

ติดกันเลย Fishermen’s Bastion  ป้อมปราการสไตล์เทพนิยาย เป็นจุดชมวิวที่สวยมากค่ะสามารถมองเห็นอีกฝั่งได้ทั่ว

วิวจากด้านบน

จากนั้นเราก็เดินไปยัง Buda Royal Palace แต่เสียดายปิดซะก่อนเพราะตอนนั้ก็เกือบห้าโมงเย็นได้มั้งเลยไม่ได้เข้าไปดู ข้างๆจะมีงานโชว์ศิลปะหัถกรรมของบ้านเขา เลยได้ไปถ่ายรูปกับธิดาอะไรซักอย่างจำชื่อไม่ได้ค่ะ ชุดที่เห็นคือชุดประจำชาติของฮังการี่ค่ะ

ส่วนรูปนี้ คือขนมปังพื้นเมืองของที่นี้ อร่อยค่ะ รสชาติออกหวานๆ มีหลายรสให้เลือกค่ะ

ส่วนภาพข้างล่างนี้คือ The Chain Bridge เป็นทางเชื่อมต่ออย่างถาวรแห่งแรกระหว่าง เมืองฝั่งบูดาและเมื่องฝั่งเปสต์ ถ้าใครมาช่วงเย็นจะได้เห็น สองฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยแสงไฟ สวยมากค่ะ เสียดายไม่ได้รออยู่ดูถึงเย็นค่ะ แต่ได้กลับมาดูในทีวีวันต่อมาเพราะเขาถ่ายทอดสด งานเฉลิมฉลองวันชาติของฮังการี่ ไม่น่าแปลกใจเลยช่วงที่ไปคนเยอะจัง

หวานขอจบลงด้วย บันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดสูงชันที่สุดเร็วที่สุดหวาดเสียวที่สุด ที่หวานเคยเห็นมา ขึ้นที่ไรกลัวทุกที ใครอยากรู้ว่าจริงไหมลองไปขึ้นดูน่ะค่ะ เกือบไม่รอดกระดุมเสื้อไปเกี่ยวกับบันไดเลื่อนเกือบตกบันไดดีมีคนช่วยดึงไว้ เสื้อยีนส์หวานขาดจ้วกไปเลย ดีที่คนรอดค่ะ จะขึ้นบันไดเลื่อนนี้จับให้แน่นน่ะค่ะ อย่ามัวแต่เล่นมือถือหล่ะ

จบแล้วรีวิวนี้เหนื่อยเหมือนกันน่ะเนี่ย ยังเหลืออีกหลายทริปที่ค้างรีวิว

ข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับใครที่อยากมาเที่ยวที่นี้ค่ะ

คราวหน้ามาติดตามกันต่อน่ะค่ะ

น้ำหวาน

share with friends

  • Facebook
  • Twitter
  • Add to favorites
  • Email
  • RSS
  • Google Plus
  • Pinterest

Comments

comments

Posted in Travel ท่องเที่ยว | Tagged , | Leave a comment

ปลูกผักสวนครัวกันเถอะ

หายไปนานมาก ไม่ได้มาอัพบล็อกซักที วันนี้ว่างก็เลยมาชวนเพื่อนปลูกผักสวนครัวกันค่ะ
ผักสวนครัวที่ปลูกเอง ทั้งสดสะอาดจากสวน มั่นใจได้ว่าปลอดสารพิษเพราะเราจะไม่ฉีดยาฆ่าแมลง แถมประหยัดเงินด้วยค่ะ
อยู่เมืองไทยซื้อผักคงจะง่ายกว่าแถมราคาถูก ไม่ต้องยุ่งยากปลูกเอง ไม่ต้องคอยดูแลรดน้ำพรวนดิน แต่ก็ต้องรู้จักเลือกผักที่สดสะอาดปลอดสารพิษ
แต่ถ้าอยู่ต่างแดน ผักสวนครัวผักไทยๆเราที่ว่า คงไม่ราคาถูกแล้วแหละค่ะ แพงกว่าช็อกโกแล็ตอีกค่ะ
ปีแรกที่หวานมาอยู่เยอรมัน ยังไม่คิดถึงเรื่องปลูกผัก ได้แต่ซื้อจากเอเชียช้อป แพงทุกอย่างเลย เช่น มะละกอกิโลล่ะ 7 ยูโร 280 บาท มะเขือ 4 ลูก 2 ยูโร 80 บาท ถั่วฝักยาวบ้านเรากำละ 10 บาท ที่นี่ก็ 2 ยูโร 80 บาท ผักอย่างอื่นๆ กำละ 50 บาทขึ้นกินมื้อเดียวก็หมด ไม่ไหวๆ ปีนี้เลยคิดปลูกเองเลยค่ะ
เมล็ดผักหวานซื้อมาจากเมืองไทย กลับบ้านทีไรก็เอามาด้วย

ภาพจากสวนหน้าบ้านค่ะ

ส่วนที่ ที่ปลูกผักก็ปลูกหน้าบ้านในพื้นที่แสนจะเล็กนิดเดียว แต่ก่อนมีแต่ดออกไม้แต่ตอนนี้ดอกไม้ไม่จำเป็น ปลูกผักแทนดีกว่า หน้าบ้านที่แต่ก่อนเคยสวยงามเต็มไปด้วยดอกไม้ต่างๆนาๆตอนนี้กลายเป็นป่าเล็กๆแล้วค่ะ มีแต่ผักสีเขียวเต็มไปหมด โดยเฉพาะบวบ มะระ ถั่ว กับฝักทอง เลื้อยลามไปทั่วแล้วค่ะ

เห็นพื้นที่เล็กๆแค่นี้แต่ผักเกือบทุกชนิด อย่างละนิดล่ะหน่อย บางต้นโตแล้วบางต้นกำลังโต หวานใช้ทุกตารางนิ้วอย่างคุ้มค่าค่ะ มีตั้งแต่ พริก สาระแหน หอม ผักชีจีน ผักชีลาว โหระพา ใบกระเพรา แมงลัก มะเชือ ใบขึ้นช่าย บวบ มะระ ฝักทอง ถั่ว มะเขือเทศ พริกหยวก เสียดายตรงที่ บวบกับถั่วฝักยาวนี่หล่ะค่ะทำไมถึงไม่มีลูกเลย ยังไม่หมดค่ะที่สวนตัวเองไม่พอ ยังไปขอสวนหลังบ้านแม่ย่า ปลูกผักบุ้ง ผักชีจีน ลาว ผักคะน้า ผัดกาด ผักกวางตุ้ง ต้นหอม ข่าและกระชายก็มี พึ่งจะมีหน่อขึ้น

ผักสวนครัวจากหลังบ้านแม่ย่าค่ะ

 

 

 

ผักที่ปลุกแล้วภูมิใจที่สุดก็คงจะเป็นมะเขือ ลูกดกมากค่ะได้กินตลอด แต่กว่าจะได้อย่างนี้ เฮ้อ ! ต้องปลูกตั้งแต่ปีที่แล้วพอหน้าหนาวก็เอาไปเก็บไว้ในบ้านหน้าร้อนก็เอาออกมาไว้ที่สวน หมั่นใส่ปุ๋ย(ปุ๋ยชีวภาพนะค่ะ) ปีนี้เลยลูกดกเต็มที่
ปลูกผักเอง ประหยัดเงินได้เยอะเลยค่ะ แถมยังได้แบ่งให้เพื่อนบ้านและพี่เพื่อนคนไทยที่นี่ด้วยค่ะ
เสียอย่างเดียวพอเข้าหน้าหนาวที่นี้ ผักทุกอย่างถ้าไม่ปลูกใส่กระถางแล้วเอาเข้าไปเก็บในบ้านก็จะตายหมด ต้องปลูกใหม่ทุกปี

จะกินสดหรือลวกจิ้มกับน้ำพริกก็อร่อยทั้งนั้น

คนสวนจำเป็น

ปล. ต้องขอบขอบพระคุณ แม่และพ่อน่ะค่ะที่สอนหวานให้ปลูกผักเป็น ตอนเด็กๆโดนเขี่ยวเข็นให้ปลูกผัก รดน้ำผักทุกวัน หวานบ่นขี้เกียจทุกวัน แต่ตอนนี้ไม่ขี้เกียจแล้วค่ะ

ขอบคุณสามีด้วยค่ะที่ช่วยปลูกและช่วยรดน้ำพรวนดิน ;)

share with friends

  • Facebook
  • Twitter
  • Add to favorites
  • Email
  • RSS
  • Google Plus
  • Pinterest

Comments

comments

Posted in Allgemein ทั่วไป | Leave a comment

Review Vienna Trip 2 วันที่คุ้มค่า

เมื่อปีที่แล้วเดือนสิงหาคมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองหลวงของประเทศออสเตรียมากับเพื่อน (อังกฤษ: Austria; เยอรมัน: Österreich)  ประเทศออสเตรีย ในภาษาเยอรมัน อ่านว่า อืสเตอร์ราย เมืองหลวงมีชื่อว่า  Wien ( วีน ) ภาษาทางการภาษาเยอรมัน เหมือนประเทศเยอรมัน พอพูดสื่อสารเยอรมันได้ หวานเลยหนีคุณที่รักไปเที่ยว อุ้บ  ! ไม่ได้หนีค่ะแต่ทิ้งให้คุณที่รักอยู่คนเดียว พอดีเพื่อนฮังการี่ชวนไปเที่ยวบ้านเขาที่ฮังการี่  9 วัน และบ้านเพทราก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงของออสเตรียเลย นั่งรถ 1 1/2 ชม.เลยได้โอกาสไปเที่ยวที่เวียนนา 2 วัน 1 คืน แล้วก็กลับไปฮังการี่อีกรอบ

เริ่มออกเดินทางตอน 8.32 น. ด้วยรถไฟจาก สถานีรถไฟ Györ (เจือ) ประเทศ ฮังการี่ ไปลงที่ สถานีรถไฟ Wien West Bahnof  ค่าตั้ว 19 ยูโร ไปและกลับ จากนั้นเราก็เดินไปขึ้น รถไฟฟ้าใต้ดิน ที่นี้เขาเรียกว่า Ubahn อูบาน ส่วนค่าตั๋ว เราได้สั่งซื้อตั๋วแบบเหมาจ่ายสำหรับ 48 ชม (จะถูกกว่าแบบรายทาง) ทางอินเตอร์เน็ต ตั้ว และปริ้นเรียร้อย สำหรับ 2 วันราคา 10 ยูโร ต่อคน หรือจะซื้อที่ตู้หรือเคาว์เตอร์ที่นั่นก็ได้ เวลาขึ้นรถไฟฟ้าก็เดินเข้าไปได้เลยไม่ต้องหยอดเหรียญ ไม่ต้องเสียบบัตรเหมือนเมืองไทย และไม่มีคนตรวจตั๋ว แต่ต้องมีตั๋วไว้กับตัว บางทีอาจมีมาเดินตรวจในรถ แต่ก็ไม่เห็นเจอสักครั้ง แต่ถ้าไม่มีตั๋วแล้วโดนตรวจโดนปรับประมาณ 40-50 ยูโร เงินไทยก็ประมาณ 2000 บาท ถ้างั้นอย่าเสี่ยงแอบขึ้น ซื้อตั๋วดีกว่าค่ะ และตั๋วนี้ใช้ขึ้นได้ ทั้งรถไฟ รถไฟฟ้าใต้ดิน รถบัส รถราง ไม่ต้องซื้อใหม่ ขึ้นรถประมาณ  15 นาที แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาทีก็ถึงโรงแรม  แต่เราเดินหลงไปเป็นชั่วโมง เฮ้อในที่สุดก็หาเจอ ไม่ยากเลย แต่หลงเอง โรงแรมที่เราไปพัก Etap Hotel  ค่าที่พัก 1 คืน 52 ยูโร  รวมอาหารเช้า ราคาขึ้นอยู่กับฤดูกาล ถือว่าไม่แพงเลยเมือเทียบกับโรงแรมอื่นๆในกรุงเวียนนา

เช็คอิน เก็บของเรียร้อย ตอนนั้นก็เกือบบ่ายแล้ว ไม่ให้เสียเวลาก็ตะลอนทัวร์ ที่แรกที่ไปก็คือใจกลางเมือง ขึ้นจากรถไฟฟ้าใต้ดินที่ Stephanplatz แล้วก็เดินชมรอบได้หมด แต่ละสถานที่ ที่น่าสนใจอยู่ไม่ไกลกัน ไม่จำเป็นต้องขึ้นรถใดๆ

ลงตรงนี้ ที่แรกที่จะได้เห็นคือ Stephansdom หรือโบสถ์สเตฟาน ดูเก่าๆแต่น่าสนใจ เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในหรอกน่ะ เพราะไม่มีเวลา จากนั้นก็เดินไปรอบจะมี Adlertrum ,Pestsäule ,Graben , Peterskirche  แถวนี้จะมีแหล่งช้อปปิ้งและร้านอาหาร แต่แพงมาก ขอบอก เราเลยไปฝากท้องกับร้านอาหารเอเชีย อิมบิสแทน ส่วนใหญ่อาหารจะเป็นบะหมี่ ข้าว อาหารจีน ญี่ปุ่น และก็ไทย แบบทานง่ายจ่ายเร็ว

อิ่มแล้วก็เดินต่อไปยัง Michaeler- Platz และHeldenplatz ข้อมูลเชิงลึกไม่มีน่ะค่ะมีแต่รูปมาให้ดู ถ้าใครสนใจลองหาอ่านได้ในอินเตอร์เน็ตน่ะค่ะ

Maria Theresia and Museum

Parlament หรือ รัฐสภา

ตรงข้ามจะรัฐสภาจะเป็น Volkgarten หรือ สวนสาธาราณะ , Theseus Tempel , Minoritenkirche

เดินต่อไปไม่ไกลก็จะเป็น Burgtheater โรงภาพยนตร์แห่งชาติ ประมาณนั้น

ตรงข้ามโรงภาพยนตร์ ก็จะเป็น Rathaus หรือคล้ายกับว่าที่การอำเภอ ช่วงที่ไปเค้ากำลังจัดเทศกาล Film festival แต่เสียดายตอนกลางคืนไม่ได้ออกมาดู

 

ข้างในสวยมาก เลยแอบไปถ่ายรูปกับบันไดปูพรมแดง อย่างกับองค์หญิง

จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน ไปลง หรือ ขึ้น ดีหล่ะ ไปขึ้นละกันเพราะขึ้นจากใต้ดินสู่บนดิน  ขึ้นที่ Schlottentor university  แถวนั้นจะมีสวนเดินเล่น และ โบสถ์ Votivkirche

 

ป้ายข้างบนสีสวยดีเลยถ่ายมา

ถ่ายรูปเสร็จก็ลงรถไฟฟ้าใต้ดิน ไป Karlsplatz โบสถ์ชื่อ Karlkirche มาถึงที่นี่ก็เย็นมากแล้ว นั่งเล่น แล้วก็ดูเด็กน้อยน่ารักเต้นรำสักพัก เราก็ก็ไปหาอะไรทานและก็กลับไปนอน กลับมาปวดขาเหลือเกิน เดินตลอด แต่ก้ถือว่าคุ้ม ครึ่งวันเห็นสถานที่ ที่น่าสนใจเกือบทั่ว

วันที่ 2 เราตื่นสายนิดหน่อย แค่ 8.30 น อาบน้ำ เก็บของ ทานอาหารเช้า อาหารเช้าที่นี้ไม่มีข้าวต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว หรือ American breakfast หรอกน่ะค่ะ มีแต่ ขนมปัง แฮม เนย ชีส แยม นม ซีเรียล ไข่ต้ม ชา กาแฟ ผลไม้ แบบอาหารเช้าเยอรมัน อิ่มแล้วแล้วเราก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม จากนั้นเราก็เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ สถานีรถไฟ West Bahnhof ที่นี่มีตู้เซฟเก็บกระเป๋าแต่ไม่ฟรี ค่าฝากไม่แพงหรอกค่ะ ฝากได้ 24 ชม เสร็จแล้วเราก็ลงรถไฟ ต่อด้วยถเมล์ไปที่ Schloss belvedere

จากนั้นเราก็ต่อรถเมล์ไปที่ Hundertwasserhaus เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แปลกและน่าสนใจ ตึกเต็มไปด้วยสีสันและก็ต้นไม้ ร่มรื่นเชียว ข้างๆก็มีร้านขายของชำ ขายของที่ระลึก

 

สุดท้ายก็ไปที่  พระราชวังเก่า Schloss Schönbrunn ที่นี่สวน สวยและกว้างมาก แต่ก็ไม่ได้เดินจนทั่วหรอกค่ะ กว้างเกินเดินทั้งวันก็ไม่ทั่ว ติดกันเลยก็จะมีสวนสัตว์ที่ใหญ่มากเหมือนกัน

 

ใกล้ถึงเวลากลับแล้ว เราก็เดินทางกลับไปยังสถานีรถไฟ และก็ทานข้าวเย็นที่นั่น ประมาณ 16.00 น. รถไฟของเราก็ออกเดินทางกลับฮังการี่ ทริปนี้ถือว่าเหนื่อย แต่ก็สนุก ถือว่าคุ้ม มาแค่ 2 วัน เห็นเกือบหมดเมือง แถมได้ของแถมฟรีๆที่ไม่ต้องการกลับมาด้วย ก็คือความดำนั่นเองค่ะ สิ่งที่ประทับใจก็คือ ที่นี่สะอาด เดินทางสะดวกรวดเร็ว ตึกสวยดีค่ะ เดี๋ยวคราวหน้าจะมารีวิวทริปที่ฮังการี่อีกน่ะค่ะ

สำหรับใครที่สนใจมาเที่ยวที่เวียนนา ข้างล่างนี้คือข้อมูลบางส่วนที่หวานเคยหาไว้ค่ะ

แผนที่สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเวียนนา

แผนที่รถไฟ รถไฟฟ้าใต้ดิน ในเมืองเวียนนา

สุดท้ายต้องขอขอบคุณ คุณคริสเตียน ผู้สนับสนุนหลักที่เอื้อเฟื้อค่าใช่จ่ายทั้งหมดตลอดทริป 9 วันและ และเพื่อนร่วมทางที่น่ารัก

น้ำหวาน :)

 

share with friends

  • Facebook
  • Twitter
  • Add to favorites
  • Email
  • RSS
  • Google Plus
  • Pinterest

Comments

comments

Posted in Travel ท่องเที่ยว | Tagged , , | 1 Comment

ข้าวมันไก่ไทย แต่ไก่เยอรมัน

เมื่อน้ำหวานเกิดอาการหิว อยากกินของมัน แม้จะทำให้อ้วนแต่ก้ห้ามใจไม่ได้คิดอยากกินข้าวมันไก่ รสชาติอร่อยๆที่หากินได้ตามข้างทางในเมืองไทย แต่ที่เยอรมันไม่มีขาย เลยต้องลองทำเอง เปิดหาสูตรในเน็ตแล้วผสมปนเปกลายเป็น ข้าวมันไก่ by  น้ำหวานซะงั้น แต่ขอบอกว่าอร่อยใช่ได้เลยค่ะ

สูตรข้าวมันไก่

เครื่องปรุง
ไก่เป็นตัว 1 ตัว 1.5 กก. ที่นี่มีขายที่ Norma
ข้าวสาร 3 ถ้วย หรือ 480 กรัม
เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงฝานเป็นแว่น 6 แว่น
กระเทียม 100 กรัม
ผักชี 2 ต้น ต้นหอม 2 ต้น
แตงกวาลูกใหญ่ 1 ลูก หัวไชเท้าหั่นแว่น 10 แว่น
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ

 

เครื่องปรุงน้ำจิ้ม   สูตรนี้ทำแล้วได้น้ำจิ้มประมาณครึ่งลิตร แช่ตู้เย็นกินได้หลายวันค่ะ ถ้าใครทำแค่นิดเดียว ส่วนผสมทุกอย่างหารครึ่งล่ะกันน่ะค่ะ
เกลือ 1.5  ช้อนชา
ซีอิ้วดำรสหวาน 3 ช้อนชา
เต้าเจี้ยว 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1  ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 2  ช้อนชา
ขิงสับ 80 กรัม
กระเทียมสับ 40 กรัม
พริกสด 10 เม็ด

วิธีทำข้าวมันไก่
1. นำไก่มาล้างน้ำให้สะอาด ตัดหนังส่วนที่เกินออกมา หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เอาไว้เจียวน้ำมัน

2. เปิดเตาที่ไฟปานกลางค่อนข้างแรง ใส่น้ำเปล่าลงไปในหม้อให้ท่วมไก่ รอจนน้ำเดือดจึงนำไก่ที่เตรียมไว้ลงไปต้ม ใส่เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ปล่อยให้เดือดสักครู่จากนั้นลดไฟลงเป็นไฟอ่อนแล้วต้มไก่ไปเรื่อยๆจนครบ 20 นาทีแล้วให้พลิกตัวไก่แล้วต้มต่อประมาณ  20 นาที  เมื่อไก่สุกแล้ว ก็ให้นำขึ้นมาพักไว้ในถาด ตักน้ำซุป 2 ทัพพี ผสมเกลือ 1 ช้อนชา แล้วเทราดบนตัวไก่ จากนั้นเลาะกระดูกออก ตีเนื้อให้นิ่ม แล้วจึงสับเป็นชิ้นๆ เตรียมไว้เสริฟพร้อมข้าวมันค่ะ

3. ปลอกเปลือกกระเทียมและขิง นำไปล้างน้ำให้สะอาด นำกระเทียมมาสับให้ละเอียด ส่วนขิงก็ฝานเป็นแว่นๆ

4. เปิดเตาที่ไฟปานกลาง นำหนังไก่ที่หั่นไว้ไปเจียว ให้ได้น้ำมันออกมา (สังเกตว่าหนังไก่จะเหลืองกรอบก็ตักหนังไก่ขึ้นมาให้หมด) นำกระเทียมที่สับไว้ลงไปเจียวให้เหลืองหอม ยิ่งกระเทียมเยอะยิ่งหอมค่ะ

5. เมื่อกระเทียมเหลืองได้ที่แล้วก็ให้นำข้าวสาร ที่ซาวไว้เรียบร้อยแล้วลงไปผัดในกะทะ จากนั้น ให้ใส่ขิงฝานและน้ำซุปที่มีมันลอยหน้าลงไปและเกลือ ครึ่งช้อนโต๊ะตามลงไป ผัดพอประมาณที่ข้าวและเครื่องปรุงผสมกันดี

6. ตักข้าวที่ผัดใส่หม้อหุงข้าวจากนั้นก็เติมน้ำซุปที่ต้มไก่ลงไปในหม้อหุงข้าวประมาณ 5 ถ้วย หรือเมื่อวางมือไปแล้วน้ำพอดีกับมือ จากนั้นข้าวไปหุงในหม้อหุงข้าวตามปกติ

7. ปอกเปลือกผักไชเท้าและหั่นเป็นแว่นๆ ถ้ามีฟักยิ่งดีค่ะ รากผักชีทุบ น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะใส่ลงไปในน้ำซุปต้มซักพักจนหัวไชเท้าสุก แล้วก็ลดไฟลงเหลือแค่อุ่น

8.ปอกเปลือกแตง หั่นแตงเป็นแว่นๆไว้กินคู่กับข้าวมันไก่ หั่นผักชีไว้โรยหน้าไก่ ต้นหอมโรยในน้ำซุป

วิธีทำน้ำจิ้ม
1. ปลอกเปลือกกระเทียมและขิง เด็ดขั้วพริก นำไปล้างน้ำให้สะอาด นำกระเทียมและขิงมาสับให้ละเอียด ซอยพริกเป็นชิ้นเล็กๆ และนำเครื่องทั้งหมดใส่ไว้ในเหยือกผสม

2. เติมเครื่องปรุงต่างๆ คือ  ซีอิ้วดำรสหวาน เต้าเจี้ยว น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำส้มสายชู ลงไป ผสมเครื่องทั้งหมดให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เผ็ดมากน้อยตามใจชอบ ถ้าใช้ซีอิ้วดำแบบไม่หวาน ก็ให้ใส่น้ำตาลเพิ่มอีกค่ะ

3. เติมน้ำ 400 มล. และปั่นให้ละเอียด ถ้าใครทำนิดเดียวส่วนผสมก็ลดลง พอดีทำเยอะไปหน่อยกะแช่ตู้เย็นไว้ ทำข้าวมันไก่รอบที่สองกินอีก

เสร็จแล้วก็เสิร์ฟตามรูปแล้วก็หม่ำๆได้เลย อร่อยไม่แพ้ที่กินที่เมืองไทยเลย แต่อย่ากินหมดลืมแบ่งไว้ให้คุณสามีด้วยน่ะค่ะ คริสกลับมาจากทำงานกินหมดไป 2 จานใหญ่ๆ บอกว่าอร่อยที่สุด 555+ พึ่งเคยกินข้าวมันไก่ที่หวานทำเป็นครั้งแรก แล้วจะเอาที่ใหนมาเปรียบเทียบหล่ะค่ะ

 

 

share with friends

  • Facebook
  • Twitter
  • Add to favorites
  • Email
  • RSS
  • Google Plus
  • Pinterest

Comments

comments

Posted in Kitchen Küche | Tagged , , | 2 Comments